กว่าจะมาเป็น ม้าน้ำการ์เม้นท์ ผมเกิดมาจากครอบครัวยากจนครับ มีพี่น้องทั้งหมดตั้ง 9 คน ปัจจุบันคงหาพี่น้องเยอะๆ อย่างผมคงไม่มีแล้ว ผมมีพี่ชาย 2 คน น้องชาย 2 คน ผมเป็นคนที่3ของผู้ชาย (ก็เลยเป็นองค์ชายกลาง) และ มีพี่สาว 3 คน น้องสาว 1 คน ครั้งสมัยก่อนตายายก็อพยพหนีสงครามจากเมืองจีนมาอาศัยที่เมืองไทย  ส่วนพ่อแม่ก็ตามปู่ย่าตายายมา

เริ่มเรียนประถม1 ที่วัดจักรวรรดิ์ (วัดสามปลื้ม) เรียนอยู่ที่วัดสามปลื้ม 4 ปี  ไม่เคยเรียนอนุบาลหรือเตรียมอนุบาล  แล้วมาต่อที่วัดชัยชนะสงคราม (วัดตึก) เรียนอยู่ 5 ปี เรียนตั้งแต่ป.5 ถึง ป.7

ผมเริ่มจากเด็กขายของแผงลอย  สมัยเด็กๆ ผมก็ขายของแล้วครับ (ชอบค้าขาย) ขายของตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นป.5แล้ว  ต้องขายไอศกรีมขายวันละถัง 2ถัง ก่อนไปโรงเรียนทุกวัน ถังใส่ไอศกรีมที่ใช้เป็นหวาย ต้องแบกใส่บ่า มีกระดิ่งทองเหลือง คอยเรียกลูกค้า(ต้องใช้มือสั่นๆให้เกินเสียง) ปัจจุบันคงไม่มีแล้ว และในเด็กรุ่นเดียวกัน ถ้าใครทายเหรียญถูกในมือ จะได้กินฟรี แต่ไม่มีใครสามารถทายถูกได้เลย(ฮิฮิฮิ) ผมก็ใช้เทคนิคโดยเอาเหรียญสลึงอันเล็ก อยู่ใต่เหรียญอันใหญ่ 1บาท (เหรียญหัวโต) ถ้าเด็กคนไหนทาย 1เหรียญ ผมก็จะแบมือออกมาให้เห็น2เหรียญ และถ้าใครทาย2เหรียญ ผมก็จะเอาเหรียญบาทหัวโตเหรียญใหญ่ไปบังเหรียญสลึงเอาไว้ ก็จะเห็นแค่เหรียญเดียว  เลยไม่มีใครสามารถทายถูกได้ (ฮฺิฮิฮิ)

เหตุที่ขายก่อนไปโรงเรียนได้ ก็สมัยก่อน โรงเรียนจะมี 2 รอบ จะมีรอบเช้าและรอบบ่าย เดี๋ยวนี้มีแค่รอบเดียว (ทั้งวัน) ผมชอบเรียนรอบบ่าย ก็เลยสามารถขายของก่อนไปโรงเรียนได้ ครั้งจะไปโรงเรียนต้องไปโรงเรียนเอง ไม่มีรถตู้มารับไม่มีรถโรงเรียนมาส่ง ไม่ได้เกิดจากกองมรดก ต้องนั่งรถไปโรงเรียนเอง (ตอนอยู่ชั้นป.5เอง) นั่งรถจากวงเวียนใหญ่ไปโรงเรียนวัดชัยชนะสงคราม(วัดตึก)ไปโรงเรียนเอง สมัยก่อนบางวันสะพานพุทธ มีเรือลำใหญ่ผ่าน สะพานพุทธก็จะเปิดให้เรือผ่านได้ ปัจจุบันห้ามเรือลำใหญ่เข้ามาแล้ว สะพานเลยไม่ต้องเปิดใช้ ถ้าเป็นวันที่มีเรือใหญ่ผ่าน ก็ต้องเดินข้ามสะพานพุทธเอง จากฝั่งธนไปฝั่งพระนคร  แดดก็ร้อนถ้าวันไหนเจอฝนต้องวิ่งๆวิ่งๆๆๆๆๆๆอย่างเดียว  เคยขายของมามากมายหลายอย่างไม่ว่าจะขายไอศกรีม ขายหวี เหรอวิธีเรียกลูกค้าเวลาขายหวีเช่น (หวีเหาะหวีเหินหวีเดินอากาศ เหรอไม่ก็พูดว่า หัวล้วนแจกฟรีบ้าง)เป็นต้น  เคยขายซองจดหมาย และขายตุ๊กตายาง เวลาร้องขายตุ๊กตายางก็จะร้องเรียกลูกค้าเช่นกัน อย่างร้องขายตุ๊กตายางว่า ร้องว่า(เลื้ยงไม่โต ตีไม่ตาย เลื้ยงง่ายตายยาก อะไรประมาณนั้นครับ) ขายพวงมาลัย ขายหนังสือพิมพ์ ขายของเล่น ขายของมามากมายหลายอย่างมาก ยกเว้นขายโรงศพ ผมขายตั้งแต่ยุคท้องสนามหลวงแล้วววว  (สมัยก่อนท้องสนามหลวง กลางสนามหลวงจะมีตลาดนัดทุกเสาร์อาทิตย์) คนรุ่นเก่าจะรู้ดีว่าสมัยก่อนจะมีตลาดนัดท้องสนามหลวง  ตลาดพาหุรัดก็เคยขายครับ (ขายตั้งแต่ห้างดีโอยังเป็นตลาดมิ่งเมืองเก่าเลย)ทุกวันนี้ก็ยังมีเพื่อนเก่าๆค้าขายกันอยู่  ที่วงเวียนใหญ่ก็เคยขาย  (เคยขายตั้งแต่ยังมีป้ายรถเมล์กลางวงเวียนใหญ่เลย และห้างเมอร์รี่คิงยังเป็นตลาดสดวงเวียนใหญ่) และเร่ขายตามงานวัด งานกาชาดทั่วๆไป สมัยก่อนนั้น ขายของในงานตามต่างจังหวัด ก็ได้เที่ยวตามประสาผู้ชาย ทุกจังหวัดที่ไปมา อย่างเช่น ถ้าขายที่ปากน้ำ บอกคนแถวนั้นหรือสามล้อว่า ไปบ้านสีฟ้า เขาจะรู้ทันที ถ้าไปสุพรรณ ก็บอกว่าทางโค้ง ทุกคนจะรู้กันหมด ว่ามันคืออะไร ชีวิตช่วงนั้นมันช่างสนุกเฮฮาตามประสาผู้ชาย  พูดง่ายๆว่า สมัยก่อนไม่มีเอดส์เลยไม่น่ากลัวเหมือนปัจจุบัน แต่ถ้าปัจจุบันคงไม่เอาแล้ว กลัวตาย.. (ฮิฮิฮิ)

ผมเรียนน้อยครับ จบแค่ชั้นประถมปีที่7 เท่านั้นเอง (แต่เรียนป.7ต้องใช้เวลาเรียนตั้ง9 ปี)  ต้องพูดอย่างไม่อายเลยนะว่า ผมเรียนซ้ำชั้นตั้ง 2 ปี (ซ้ำป.5ปี และ ซ้ำป.6อีกปี) เหตุที่ไม่ชอบเรียน

เพราะว่าคุณครูก็จะลงโทษด้วยการหยิกบ้างตีบ้าง เราก็อาย เราเป็นเด็กลูกคนจีน คงจะพูดภาษาไทยไม่ชัด เลยถูกทำโทษบ่อยๆ ด้วยสาเหตุที่อ่านออกเสียงไม่ชัด (หิหิหิ)  เลยหนีเรียนเป็นประจำ ผลเลยเรียนซ้ำชั้นบ่อยๆ กว่าจะอ่านหนังสือภาษาไทยได้ ก็ปาไป ป.6 ปีที่ 2 แล้ว(โง่จริงๆ555)เสียดายที่เรียนน้อย แต่ทุกวันนี้ผมอ่านได้แล้วนะครับ กว่าจะอ่านได้ก็ปาไปตอนป.6 ปีที่2แล้ว แต่ก็ยังอ่านภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยได้เลย แต่พอพูดภาษาแต้จิ๋วได้ ภาษาจีนกลางนิดๆหน่อยๆ(Yīdiǎn diǎn.) 

เราเป็นลูกคนจีน เวลาพูดออกเสียงจะไม่ค่อยชัด ครั้งหนึ่งเคยจำได้คุณครูเคยดุว่า 'ถ้าเธอไม่ตั้งใจเรียน "เธอออกจากห้องได้เลย"  คุณลองคิดดูใครบ้างกล้าจะออก  คงไม่มีใครกล้าออกแน่ แต่ผมไม่สนใจเดินออกจากห้องไปเลย แล้วก็ไม่เรียนกับครูคนนี้ แล้วคุณลองคิดดู จะไม่ให้ผมซ้ำชั้นได้อย่างไร ผมหนีเรียนเป็นประจำ นั่งรถเมล์เที่ยวเป็นว่าเล่น แอบหนีเรียนไปว่ายน้ำก็เคย จนว่ายน้ำเป็นเองโดยไม่ต้องมีครูสอน เรื่องว่ายน้ำนี้ก็เกือบตายหลายครั้งแล้ว ในเพื่อนๆด้วยกันตายเพราะเรื่องน้ำไป2คนแล้ว ตัวอย่างแบบนี้ไม่สมควรทำ เด็กสมัยนี้ควรตั้งใจเรียน อย่ามาคิดว่าที่โบราณว่าไว้ (เสื่อผืนหมอนใบ) ก็สามารถเอาตัวรอดได้ จนเป็นเถ้าแก่ใหญ่โต เหมือนปัจจุบันนี้  แต่สมัยนี้แบบนี้ไม่ได้แล้ว (เสื่อผืนหมอนใบ) ขืนอพยพมาแบบนี้มีแต่ตายกับตาย สมัยนี้อาศัยเทคโนโลยี และ ภาษา มีส่วนสำคัญ ถึงสามารถจะก้าวทำธุรกิจใหญ่โตได้ 

แต่เว็บไซต์WWW.MAHRNUM.COM นี้ผมทำเองนะครับ นึกแล้วก็ตลกดี ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ทนๆดูหน่อยนะครับ (ไม่ใช่มืออาชีพ)    สมัยวัยเด็กที่พอจำความได้

ลำบากมาก เรื่องการกินนั้น ไม่ใช่ได้กินอย่างสบายๆเหมือนเด็กสมัยนี้ เวลาแม่ซื้อปาท่องโก๋มาตัว2ตัว ต้องใช้กรรไกรตัดชิ้นเล็กๆ มาคลุกกับข้าวต้มใส่ซี่อิ้วแบ่งๆกันกิน โอกาศที่จะได้กินอาหารดีๆไม่ต้องพูดถึงเลย เป็ดไก่เหรอ ต้องรอวันตรุษจีนวันสารจีนถึงจะมีได้สิทธิ์ได้กิน สรุปก็จะได้กินเป็ดไก่ก็ต้องรอวันตรุษจีนสารจีน เรื่องห้องนอนเหรอ 1ห้องนอนๆเรียงกัน11ชีวิต ไม่ใช่ห้องนอนห้องน้ำในตัว แค่มีที่ซุกหัวนอนก็ดีแล้ว ห้องนอนไม่ใช่ติดแอร์ พัดลมอย่างเดียว บ้านเป็นบ้าน2ชั้นๆบนไม่ได้กั้นห้อง  ห้องโล่งๆนอนเรียงกันเป็นแถวๆ(มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่เคยเล่าให้ฟ้งว่า)  เวลาจะนอนต้องคอยนับลูกๆมานอนครบเหรอยัง เหมือนเล้าหมูเลย นอนเรียงกันเป็นแถว   มีอยู่วันนึงพี่สาวหายไป1คน แม่ตกใจมาก ตามหากันใหญ่เลย สุดท้ายพี่สาวคนนั้น คนข้างบ้านใจดีเอาไปนอนด้วยคงเห็นน่ารักมั้ง และอยากจะช่วยแม่เลี้ยงดูเลยเอาไปช่วยดู(ฮิฮิฮิ) และเรื่องห้องน้ำ ห้องน้ำห้องเดียวลองคิดดูสิว่าจะเป็นอย่างไร แย่งกันน่าดู ตอนวัยเด็กเล็กไม่มีโอกาสจะได้กินนมเลย ครอบครัวยากจนไม่มีปัญญาจะซื้อนมกิน ได้กินแต่แป้งแทนนม คนรุ่นผมคงจะรู้จักแป้งว่าเป็นแบบไหน(คนจีนเรียกว่าโก้วที่แปลว่าแป้ง) ยากที่จะได้กินของดีๆบำรุงสมอง  ผลเลยฉลาดเพียงเท่านี้(ฮิฮิฮิ) ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้เน้นกินนม ตัวเลยสูงใหญ่และฉลาดกว่าผม สมัยผมเด็กๆ ครั้งจะไปโรงเรียนก่อนกินข้าว จะซื้อข้าวมันไก่กิน มีปัญญาซื้อแค่ข้าวมัน(ไก่) แต่ไม่มีไก่นะครับ เพราะมีเงินซื้อแค่ได้ข้าวมันเปล่าๆกิน แล้วใส่ซีอิ้วดำแทน(ในราคา50สตางค์) วันๆได้เงินที่ไปใช้ที่โรงเรียนป.1-ป.4 ไม่เคยได้ตังค์ ไม่เคยได้ตังค์ไปโรงเรียน ป.5-ป.7 ยังพอได้บ้าง3-5บาท ตอนนั้นบ้านยังอยู่แถวตรงข้ามวัดจักรวรรดิ(ชื่อที่คุ้นหูสำหรับคนทั่วไปคือ วัดสามปลิ้ม)ผมจบ ป.4 ที่นี้ ไปต่อป.5 ที่วัดชัยชนะสงคราม(วัดตึก)แถวๆคลองถม-(แล้วทนจบป.7 ที่วัดตึก) บ้านอยู่ตรงบางยี่เรือ จำได้แม่นเลย ได้ไปซื้อเป็ดย่าง(ฟังดูดี)แต่ซื้อแต่ซีกโครงเป็ดนะ แบบที่เค้าลอกเนื้อหนังออกแล้ว เหลือแต่ซีกโครง (ในราคา2บาทที่ข้างโรงหนังเฉลิมเกียรติ-วงเวียนใหญ่) หลายคนคงจะรู้จักร้านนี้ (ถ้าเป็นคนฝั่งธนวงเวียนใหญ่) ปัจจุบันร้านนี้เลิกขายแล้ว ซื้อแล้วดีใจจะได้กินเป็ดย่าง จะเอาเข้าไปฝากแม่ จะได้ไปกินที่บ้าน ไปบอกแม่ แม่ไล่ให้ไปกินหลังบ้าน เราก็งง(แม่บอกอายชาวบ้านเค้า) ด้วยความที่เราเด็กได้รู้ประสีประสาไม่เข้าใจแม่  โอกาสที่จะได้กินดีอย่าง MK Pizza swenzen หมูย่างเกาหลี (ฟันธงหมดสิทธิ์) ....เหรอเวลาจะดูโทรทัศน์  ต้องวิ่งไปดูบ้านคนอื่น บ้านตัวเองยังไม่มีปัญญาจะซื้อดู(ทีวีขาว-ดำ นะคับ ไม่ใช่ทีวีสี) ...หนังที่ชอบดูก็มีหน้ากากเสื้อ ยอดมนุษย์ พิภพมัจจุราช หรือการโฆษณา ก็มีแป้งตรางู ถ่ายไฟฉายตรากบ... ของเล่นเหรอ เล่นแต่หมากเก็บ ขี่ม้าส่งเมือง เล่นฝาเป็ปซี่แทนเงิน เล่นไพ่ ทอยเหรียญ ยิงลูกหิน ฟันดาบ คอมไม่มี เกมส์ไม่มี Facebookไม่มี Lineไม่มี WhatsAppไม่มี ผิดกับสมัยนี้อย่างมากเลย ...แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบค้าขาย  ก็ทำการค้าขายมาด้วยตลอด 

        มีอยู่วันหนึ่งเกิด(จุดเปลี่ยน)คือผมยืนมองดูแผงที่ร้าน(แผงลอย)ที่พาหุรัด หน้าร้านจิวเจียวเฮง คิดอยู่ในใจว่า ถ้าเราค้าขายอยู่เพียงแค่นี้ เราคงไม่สามารถที่จะก้าวหน้ามากกว่านี้ได้แน่  ผมเลยมีแนวความคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง เพื่อจะได้ก้าวหน้าในชีวิต และเพื่ออนาคตของลูกๆของเรา  ผมก็เลยเริ่มทำงานด้านเสื้อผ้าจากตอนอายุประมาณ24-25ปี จากที่ไม่เป็นอะไรเลยประสบการณ์ก็ไม่มี ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไร(ดีที่เคยเห็นแม่เย็บเสื้อผ้ามาก่อน)  ส่วนเงินทุนก็ไม่มี ต้องหามาเอง(ไม่ใช่มีมรดกมานะ) นายทุนก็ไม่มี หาเองอย่างเดียว แต่ในใจคิดเสมอว่า เขาทำได้เราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน ก็เลยหาเงินซื้อจักรเย็บผ้ามา 2 ตัวก่อน หาเงินนะครับไม่ใช่มีเงินมาก่อน เพราะช่วงนั้นการเงินไม่แข็งแรงเลย ดีที่ยังพอมีนิดๆหน่อยๆที่ได้จากเซ้งแผง ใจคิดอยู่เสมอว่าจะต้องทำให้ได้ ก็เลยคิดถึงสมัยพระเจ้าตาก ที่ออกสงครามและทุบหม้อข้าวตัวเองให้หมด ผลก็คือห้ามแพ้ ต้องชนะอย่างเดียว ผมก็เลยใช่วิธีตำรานี้ เหมือนพระเจ้าตากสิน ด้วยการเซ้งแผงทิ้ง จะไม่ยอมแพ้และห้ามแพ้ ผลก็ออกมาอย่างทุกวันนี้ (ด้วยการหยิบยืมคนละนิดคนละหน่อย) ก็เลยรับงานค่าแรงก่อน จากการรับงานค่าแรง ก็ทำให้เรามีประสบการณ์อะไรต่างๆมากมาย สนุกบ้างท้อบ้างเหนื่อยบ้างรวมๆกันไป และมีอยู่วันหนึ่งไปส่งงานไกลก็ไกล(บ้านอยู่บางบอนไปส่งงานที่ห้วยขวาง) แถมถูกเจ้าของงานต่อว่าเรื่องทำงานไม่สวยเย็บไม่ดี (เจ้าของที่จ่ายงาน ก็ร้านเพ็ญอาภรณ์) เขาบอกว่าจะไม่จ่ายงานให้แล้ว (ตอนนั้นท้อมาก) แต่ก็ขอเขาแก้ตัวใหม่ ในตอนนั้นก็เลยเกิดความคิดว่า เราจะต้องทำ ต้องทำให้ดีให้ได้ ถ้าทำดีไม่ได้ก็ขอเลิกทำเลยดีกว่า จนสามารถเดินทางจนมาถึงปัจจุบันนี้ได้ (เจ้าของร้านเพ็ญอาภรณ์นั้น ทุกครั้งที่เจอกันในงาน ไม่ว่างานอะไรจะถักทายกันดีมาก ไม่ว่าอาเฮียเหรออาซ้อ ขอขอบคุณไว้ณ.ที่นี้)  เงินทองจากการรับค่าแรงไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ ต้องทำงานดึกๆดื่นๆอดหลับอดนอน ถึงจะพอผ่อนนู่นผ่อนนี่ ชีวิตช่วงนั้นคือมนุษย์นักกู้นักผ่อน (ฮิๆๆ) แชร์ก็เล่น เล่นแล้วก็เปียเลย เปียก่อนเลย เปียมือแรกๆเลย บ้างเท้าแชร์ก็กลัวเรา เพราะเราเล่นเปียมือแรกและมือที่สองเลย ใครบ้างไม่กลัวฮิฮิฮิ แต่เราก็หาคำพูดแก้ต่างจนได้คือ(ถ้ากล้าชวนเล่น ก็อย่ากลัวเราเปีย ถ้ากลัวเราเปีย ก็อย่าชวนเราเล่น) สุดท้ายก็จบแชร์ส่งจนหมดฮิฮิฮิ   กู้ก็เอา เสียดอกแพงๆก็ต้องสู้ เพื่อไม่ให้เสียเครดิต เช็คก็แลกไม่ว่าเช็คของเรา หรือเช็คของลูกค้า ได้มาแลกอย่างเดียว สมัยก่อนดอกเบี้ยแพงมาก ทำทุกอย่างที่จะได้เงินมาหมุนเวียนกับธุรกิจ แต่ก็ผ่านพ้นชีวิตช่วงนั้นมาได้ คนเรานั้นทำการค้าเสียดอกเท่าไรก็เสียไป แต่อย่าเสียเครดิตเป็นอันขาด แต่ถ้าวันใดต้องเสียเครดิต(เหตุสุดวิสัย) เราต้องไม่เสียกำลังใจ ตัวผมเคย ผมเคย ผมเคย เสียกำลังใจมาแล้วในชีวิต มันท้อแท้หมดอะไรตายอยากเลย เห็นอะไรที่เกี่ยวกับงานมันเหม็นสาบไปหมด   ฉะนั้น คนเราต้องอย่าเสียกำลังใจเป็นอันขาด ดอกเบี้ยเสียไม่เป็นไร ค้าขายมีกำไร เสียเครดิตไม่เป็นไร เครดิตเสียสร้างใหม่ได้ แต่ห้ามเสียกำลังใจหมดๆกัน กำลังใจสร้างใหม่ยากมาก การเดินทางของชีวิต ไม่ใช่ปูด้วยดอกไม้สวยงามหอมๆไม่ใช่เลย  ชีวิตช่วงนั้นลำบากมาก นอนกลางดินกินกลางทรายก็เคยมาก่อนแล้ว นอนวันละ2-3ชั่วโมงก็เคยมาแล้วนอนร้องไห้ก็เคยมาแล้วจน ชีวิตเดินทางต่อสู้มาด้วยตัวคนเดียวแท้ๆ เพราะชีวิตไม่ได้เกิดจากกองมรดก พ่อแม่ไม่ได้มีมรดกทรัพย์สินเงินทองมา ให้แต่ความรู้ให้ทำความดี แค่นี้ก็กินไม่หมดแล้ว ชีวิตไม่เคยคิดโกงใครพ่อแม่สั่งสอนไว้ โชคดีที่มีพ่อแม่ที่ดี...... 

                           ละผมขอเสริมว่า การเป็นพ่อแม่คนในสมัยก่อน เป็นง่ายมากเด็กเชื่อฟังพ่อแม่มาก ใช้ไม้เรียวก็เป็นคนดีได้แล้ว  และเด็กก็ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าดื้อ จะเชื่อฟังพ่อแม่มากกว่า แต่เด็กสมัยนี้ ไม่เหมือนเด็กสมัยก่อน อบรมยากเข้าใจยาก ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่เท่าไร จะเชื่อฟังเพื่อนๆมากกว่า เอาแต่ใจตัวเอง จะเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ จะเอาอย่างเพื่อนๆ  เพื่อนมีอะไรจะเอาตามอย่าง  ขนาดลูกสาวผมอายุไม่ถึงสิบขวบ ก็จะขอใช้มือถือแล้วเห็นเพื่อนมีมือถือใช้ ก็จะเอาอย่างเพื่อนแล้ว เด็กชอบเอาค่านิยมเทคโนโลยีมาแข่งขันกัน  วัตถุนั้นผมว่าดีถ้ารู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ตัวผมนั้นไม่ค่อยสนใจใครจะมีมากมีน้อย ใครจะมีของใช้อะไรดีๆของใหม่ๆ ผมไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร เห็นมาเยอะแล้ว ที่รวยๆมีเงินทองเยอะแยะ สุดท้ายที่ตายไปก็ไม่มีใครสามารถ จะนำเอาไปได้ ขอถามหน่อย มันจะเอาไปได้ไหม ผมคิดได้เสมอและเตือนตัวเองอยู่ตลอด (ตายไปก็เอาไปไม่ได้) ผมจะแข่งกับตัวเองมากกว่า จะไม่ขอแข่งกับใคร มันไม่ใช่นิสัยผม  อย่างสมัยก่อนเพื่อนๆมีอะไรดีๆใช้กันต้องเยอะ ผมก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไร (เหรอว่าสมัยก่อนคงไม่มีปัญญาซื้อใช้555)  มีค รั้งหนึ่ง เพื่อนต่อว่าทำไมไม่ใส่สร้อยทอง แหวนเพชร ผมตอบกลับไปว่า "ถ้ากูยังมีหนี้สินอยู่ กูจะไม่ขอใส่ทองใส่เพชร เป็นอันขาด" (ฮิฮิฮิ) ปัจจุบันนี้ก็ไม่ชอบใส่ กลัวโดนปล้นมากกว่า (ผมไม่เว่อร์) สมองคิดอย่างเดียวว่าซื้อมาแล้วมันมีประโยชน์อะไรกับเรา มันมีประโยชน์กับงานเหรอป่าว ทุกวันนี้ก็ยังใช้ความคิดแบบนี้อยู่ (พูดง่ายๆคือไม่เวอร์) ทรัพย์สินทุกวันนี้หามาด้วยลำแข้งของตัวเองแท้ๆ  ผู้ใดที่ได้อ่านผมอยากแนะนำการดำรงชีวิตนั้น อยากหวังพึ่งใคร ต้องสร้างด้วยลำแข้งของตัวเองมันภาคภูมิใจมากกว่า จริงๆนะจะบอกให้....

นี่คือการมองโลกในแง่ดี

 

                      สุดท้ายนี้......ข้อเขียนใดมีประโยชน์ก็นำไปใช้เป็นอุทาหรณ์ ถ้าข้อเขียนใดไร้สาระก็อ่านสนุกๆผ่านๆไป  เหตุที่ผมอยู่ได้ทุกวันนี้ก็คงมาจากวัยเด็กที่เราคิดดีทำดีก็เลยอยู่ได้ทุกวันนี้ ฉันใดก็ฉันนั้นเมล็ดพืชใดที่เราหว่านลงดิน  เมล็ดนั้นก็คงจะได้อย่างนั้นและท่านจะคิดจะทำอย่างใด.......

และอีกอย่างผมโชคดีที่มีแม่ พี่ๆเป็นตัวอย่างที่ดี คุณแม่ผมเป็นนักสู้จริงๆ คิดแล้วก็พอๆกับชีวิตโอชิน ลองคิดดูแม่คนเดียวเลี้ยงลูกต้อง9คน และยังจะต้องดูแลคุณพ่ออีกคน เพราะคุณพ่อมีโรคประจำตัวไม่สามารถจะทำงานได้ ถ้าปันจุบันคงหาแม่เลี้ยงลูก9คน คงยากมาก สงสัยคงต้องส่งลูกบางคนไปสถานสงเคราะแล้ว(สงสัยคงจะเป็นผมฮิฮิฮิ) เท่าที่เห็นมาคุณแม่ไม่เคยแบมือขอใครกินเลย สู้อย่างเดียว ผมต้องชมเชยแม่ผมและจะต้องเอาตัวอย่างคุณแม่มาใช้ให้มากๆ  อ่านแล้วถ้าได้ข้อดีผม ก็นำมาใช้ ข้อด้อยผมก็มองเป็นอุทาหรณ์ ธรรมะคนเราต้องมีนะครับ เหตุที่อยู่ได้ผมก็นำธรรมะมาใช้ด้วย

และๆท้ายนี้ถ้าท่านคิดอยากจะทำเสื้อออเดอร์ไม่ว่าจะงานปักหรือจะงานสกรีนหรือถ้าท่านผิดหวังจากที่อื่นมา ท่านลองใช้บริการของเราดู โดยประสบการณ์ผมๆมั่นใจว่าทางเราสามารถทำสินค้าให้ได้ถูก เราจะทำสินค้าให้ได้เร็ว  เราจะทำสินค้าให้ได้ดี เราขอรับรองรับประกันในฝีมือและประสบการณ์ของเรา

ผมขอขอบคุณลูกค้า ที่แนะนำลูกค้าให้มาซื้อที่ม้าน้ำการ์เม้นท์ เพราะลูกค้าหลายเจ้าที่มาซื้อนั้น มักจะบอกว่าเพื่อนๆแนะนำให้มาซื้อที่ม้าน้ำการ์เม้นท์ ขอขอบคุณมากๆครับบบบบบ                                        

    จาก     ม้าน้ำการ์เม้นท์ ( ฮวด )